เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๖ ม.ค. ๒๕๕๑

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๖ มกราคม ๒๕๕๑
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

สัจธรรม เห็นไหม สัจธรรมความจริง ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ในเมื่อทำคุณงามความดี ความดีก็คือความดี แต่มันให้ผลเราช้า ความดีให้ผลช้ามาก แต่ทำความพอใจนี่ให้ผลเร็วมาก เราจะทำความพอใจของเรา เราพอใจเราจะทำสิ่งใดเราก็ว่าพอใจทำสิ่งนั้น เราว่าเป็นความดี แต่ความดีด้วยความพอใจของเราไม่ใช่ความดีที่แท้ๆ หรอก ความดีเพื่อดี เห็นไหม ทำดีเพื่อดี ทำดีต้องได้ดี แต่คำว่าได้ดีของเรา ดีคือสัจธรรมความจริงไง

สัจธรรมนะ เวลาพระเราภาวนากันน่ะ ภาวนาขึ้นมา มันเป็นธรรมขึ้นมาจากไหน มันเป็นธรรมขึ้นมาจากอริยสัจนะ มันไม่เป็นธรรมขึ้นมาจากความพอใจของเราหรอก ทุกคนภาวนาแล้วอยากได้ความสงบ ทุกคนภาวนาแล้วอยากได้ปัญญา แล้วมันได้ตามปัญญาของเราไหม ได้ ได้ปัญญาของกิเลสไง เพราะกิเลสมาจากตัวตนของเรา เห็นไหม

จิตของเรามันไม่สงบ จิตของเรามันมีกิเลสของเรา เห็นไหม เวลาปัญญามันเกิดก็เกิดตามความคิดของเรา ความคิดของเรามันจะเป็นปัญญาไปได้ไหม เพราะเราอยากได้ดีเกินไปไง อยากได้ดี อยากมักง่าย คนมักง่ายจะได้ยากนะ แต่คนบากบั่น คนวิริยะอุตสาหะน่ะ ทุกข์ยากมาก แต่จะได้ผลคุณงามความดีมา เพราะอะไร เพราะเราวิริยะอุตสาหะ เราทำตามข้อเท็จจริง ผลมันเป็นอย่างนั้น

ดูสิ ต้นไม้เขารดน้ำที่โคน มันออกผลที่ปลายนะ ต้นไม้นี่รดน้ำที่โคน เขาพรวนดิน เขารดน้ำที่โคนต้นกัน แล้วผลมันออกจากที่ปลายต้นนั้น คุณงามความดีของเราก็เหมือนกัน เราทำความดีไปเถอะ ความดีต้องให้ผลเป็นความดี พระพุทธเจ้าไม่โกหกหรอก ถ้าพระพุทธเจ้าโกหกนะ พวกเราอ่อนแอกัน

เรามาอยู่โพธารามใหม่ๆ มีปัญหามาก เราคิดอย่างนี้ตลอดไปเลย พระพุทธเจ้าโกหก ถ้าเราทำความดี เรามาด้วยความดี เรามาด้วยความบริสุทธิ์ใจ เรามาด้วยสัจจะความจริงของเรา ใครจะว่าอย่างไรเรื่องของเขา กระแสเป็นอย่างนั้น กระแสมันต่อต้าน กระแสมันไม่ให้เราได้ดีหรอก

คำว่า “ได้ดิบได้ดี” เห็นไหม ดูสิ เราทำความดีขนาดไหน ไปทำความดีในหมู่โจรนะ เรามีปัญหามากเลย ดูสิ พวกนี้เขาเป็นโจรกัน เขาเอารัดเอาเปรียบกันอยู่ตลอดเวลา แล้วเราไปบอกให้เขาสละ มันจะเป็นไปได้อย่างไร?

แต่ถ้าเราบอกในหมู่บัณฑิต เห็นไหม ผู้ที่มีคุณธรรมในหัวใจ เขาจะเสียสละของเขา เพราะเขาเห็นผลประโยชน์ของเขานะ เขาเสียสละของเขาเพราะเขาเห็นผลประโยชน์ของเขา เพราะเขาเสียสละแล้วเขามีความสุข เขาเสียสละออกไปแล้วมันเป็นความเปิดโล่งออกไปจากหัวใจนะ

การหมักหมมของใจ การทิฏฐิมานะของในหัวใจ ความดำริในหัวใจที่มันมีความชั่วร้ายอยู่ มันจะให้มันสละออกไปเพราะอะไร เพราะมันต่อต้านไง มันต่อต้านการเสียสละ เห็นไหม เราทอนกำลังของมัน ถ้าเราทอนกำลังของกิเลสนะ การทอนกำลังของกิเลสคือผลจากหัวใจของเราเลย แต่บุญกุศลมันเกิดขึ้นมา เกิดจากเราให้ สิ่งที่เราให้ขึ้นมา สิ่งที่เราเสียสละออกไป เห็นไหม ผลต้องตอบสนองมาแน่นอน

ดูสิ ดูว่าฝนมันตก เห็นไหม เวลาฟ้าร้อง ฝนมันจะตก ถ้าฟ้าไม่ร้อง ฝนไม่ตกหรอก ฟ้ามันร้อง ความคิดมันคิดอยู่อย่างนั้น แต่ฝนมันไม่ตกแล้วมันมีความสุขมาได้อย่างไร มีแต่ความคิด มีแต่ความต้องการ มีแต่ความปรารถนา แต่ไม่เคยมีการเสียสละเลย ไม่มีการกระทำสิ่งใดๆ เลย แล้วมันจะเอาความสุขมาจากไหน มันจะเอาความจริงมาจากไหนล่ะ?

แต่ถ้าทำความจริงของเรา ฝนตกฟ้าร้องถูกต้องตามฤดูกาล เห็นไหม พืชพรรณธัญญาหารมันจะขึ้นไป เขาจะบอกมันไม่ใช่หรอก ไม่ใช่ข้าว ไม่ใช่หญ้า สิ่งไหนไม่ขึ้นนั่นก็เรื่องของเขา แต่ความจริงเป็นความจริงวันยังค่ำ เห็นไหม ทำดีต้องได้ดี ทำชั่วต้องได้ชั่ว ทำชั่วนะ ทำแต่ความคิดของตัวเองไง คิดว่าทำในที่ลับจะไม่มีใครรู้ใครเห็นกับเรา เราทำในที่ลับ

มันไม่มีใครรู้ใครเห็นได้ไง เราเป็นคนกระทำ เราเป็นคนรู้คนเดียว เราเป็นคนรู้ เห็นไหม ชั่ว เห็นไหม มันก็ความเศร้าหมองไง

“ศีล” ศีลทำให้เราองอาจกล้าหาญนะ เราจะเข้าสังคมไหนก็ได้ สังคมนี้เราทำคุณงามความดีขึ้นมา เราจะเข้าไปในสังคมไหน เราองอาจกล้าหาญมากเลย ว่าคุณธรรม คุณธรรม เวลาไม่เป็นสัจจะความจริง ไม่มีตื่นกับสิ่งใดๆ เลยนะ

โลกนี้มีเพราะมีเรานะ สัจจะที่ความจริง การเกิดมาต่างๆ ที่มันมี มีเพราะเราไปรู้ไปเห็นมัน ถ้าเราไปรู้ไปเห็นมัน เราควบคุมตัวเราได้ สิ่งที่รู้เห็นจะไปตื่นเต้นอะไรกับมัน มันเป็นความจริงอีกอันหนึ่ง เห็นไหม ถ้าเราเข้าใจตัวเราเองแล้วเราจะไปตื่นเต้นกับอะไร?

ถ้าเรามีคุณธรรมในหัวใจของเรา เรามีหลักสัจจะความจริงในหัวใจของเรา เราจะตื่นเต้นไปกับอะไรจากภายนอก เพราะภายในมันมีจุดยืนใช่ไหม หัวใจของเรามันมีจุดยืนของเรา เราจะไปตื่นเต้นอะไรกับสิ่งต่างๆ เห็นไหม ศีลองอาจกล้าหาญ แต่ธรรมทำให้เราไม่ไปตามกระแสไง ทำให้เรามีจุดยืนของเราไง จุดยืนของเรานะ จุดยืนของใจ ใจมีจุดยืนของมัน เห็นไหม

ดูสิ เวลาเราทำความสงบของใจเข้ามา ใจมีความสงบเข้ามา มันก็มีจุดยืนของมันแล้ว จุดยืนคืออตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ตนไม่เห็นตนเลย เราไม่รู้จักเราเลย เรามีชื่อกัน เห็นไหม เราชื่อนาย ก นาย ข นาย ง ต่างๆ ชื่อนี่มันชื่อทะเบียนบ้านนะ ไปเปลี่ยนเมื่อไหร่ก็ได้ ไปเปลี่ยนชื่อนะ เขาเปลี่ยนชื่อเปลี่ยนเสียงกันมาตลอด เห็นไหม ชื่อน่ะเป็นนาย ก นาย ข มันเป็นเราจริงหรือเปล่า ไม่จริงซักอย่างหนึ่งเลย ไม่มีอะไรจริงๆ ซักอย่างหนึ่ง

สิ่งนี้มันเป็นโดยกรรม มันเป็นโดยสมมุติ มันเป็นโดยสัจจะความจริง เราทำคุณงามความดีมาเพราะได้มนุษย์สมบัติมา สิ่งที่ได้มานี่มนุษย์สมบัตินะ มนุษย์สมบัติมีคุณค่ามาก มีคุณค่ามากจริงๆ ถ้ามีคุณค่าเพราะความรู้สึกไง หัวใจนี่มีคุณค่า หัวใจเป็นคนคิดทำดี-ทำชั่ว หัวใจเป็นคนมีความสุข-ความทุกข์ไง ความสุข-ความทุกข์มันอยู่ที่หัวใจทั้งนั้น

เวลาเราเผลอ เราเพลินไปกับโลก เห็นไหม เราเผลอไป เราไม่มีสติเลย เราว่ามันมีความสุขเหรอ มันไม่มีความสุขหรอกเพราะอะไร เพราะไม่มีสติสัมปชัญญะ แต่ถ้ามีสติสัมปชัญญะนี่มันมีจุดยืนของมัน มีจุดยืนของใจ เห็นไหม ใจมันอยู่ที่นี่ไง ตัวตนมันอยู่ที่นี่นะ

นาย ก นาย ข นาย ง นี่มันเป็นสมมุติทั้งนั้น มันเป็นของชั่วคราวนะ แม้แต่การเกิดมาก็เป็นของชั่วคราว แล้วมันมีบุญกุศลตรงไหน มันมีประโยชน์ตรงไหน เป็นมนุษย์มีประโยชน์ตรงไหน ประโยชน์ตรงนี้มันได้ทำคุณงามความดีไง มันได้หาตัวตนให้เจอไง ถ้าจิตมันสงบเข้ามา จุดยืนของใจ เห็นไหม ถ้าใจสงบขึ้นมา ใจสงบขึ้นมามีความสุขมากนะ แล้วสิ่งนี้อามิสมันหาซื้อไม่ได้นะ มันหาซื้อด้วยแก้วแหวนเงินทองไม่ได้ มันต้องทำขึ้นมาเองทั้งนั้น

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรม เห็นไหม กษัตริย์ต่างๆ มาบวชในศาสนา เวลาทำถึงที่สุดแห่งทุกข์ เห็นไหม สุขหนอ สุขหนอ สุขหนอ สุขหนอที่ไหน แล้วเป็นกษัตริย์ไม่สุขเหรอ เราก็ปรารถนากันสมบัติพัสถาน ปรารถนากันเป็นจักรพรรดิ ปรารถนากัน นี่มันเป็นทางผ่าน มันเป็นของชั่วคราวทั้งนั้นนะ เกิดมาเพื่อให้เกิดทำคุณงามความดี

เราสร้างสมบัติเป็นจักรพรรดิขึ้นมา เราได้เป็นจักรพรรดิ จักรพรรดิมันอะไร จักรมันเคลื่อนมันหมุนไป ทุกอย่างหมุนไป นี่เราเป็นจักรพรรดิ แล้วเวลามันหยุดนิ่ง เห็นไหม หยุดนิ่งเราก็ต้องออกจากสมบัตินั้น เห็นไหม แล้วสมบัติอันนั้นยังอยู่ไป

ถ้าเรายังฝืนไปนะ พอฝืนไปทุกอย่างหยุดนิ่งหมด หยุดนิ่งหมดมันแปรปรวนแล้วเพราะอะไร เพราะสรรพสิ่งโลกนี้ล้วนเป็นอนิจจัง มันแปรสภาพตลอดเวลา เห็นไหม เราเห็นคนที่ว่าคุณงามความดีคนนี้มีมากเลย เราอยากอายุมั่นขวัญยืน เราก็อยู่กับท่านไปอายุมั่นขวัญยืน แต่ถึงเวลาแล้วมันก็ต้องสิ้นอายุขัยเป็นธรรมดา

นี้มันเป็นยุคสมัย เห็นไหม ความยุคสมัย นี่ก็เหมือนกัน ความหยุดนิ่งของสมบัติจักรพรรดิ เห็นไหม ความเป็นไปของจักรพรรดิ เราสร้างคุณงามความดีของเรา สมบัติเราสร้างของเรามา สิ่งนี้เราสร้างมา มันเป็นประโยชน์กับเรา เห็นไหม ประโยชน์กับเราชั่วคราวไง

แต่ถ้าเราเห็นจุดยืนของเรานะ เห็นจิตของเรา เราเห็นใจของเรา มีจุดยืนของเรา แล้วเราชำระลงที่นี่ ปัญญาอย่างนี้ปัญญาที่มันเกิดขึ้นได้ยากมาก ปัญญาที่ว่าเกิดน่ะ ปัญญาที่คิดกันอยู่นั่นน่ะ ปัญญากิเลสใช้ทั้งหมดนะ ปัญญากิเลสใช้ ปัญญามาจากเราไง เป็นปัญญาความคิดจากเรา ปัญญาความคิดจากตัวตนของเรา

ปัญญาอย่างนั้นนะ ถ้ามันมีคุณธรรมขึ้นมามันก็เป็นโลกียปัญญา ปัญญาที่เพื่อเจือจาน เพื่อรักษา เพื่อเสียสละ เพื่อเจือจานโลก อันนั้นคือถ้าปัญญาที่มีคุณธรรมนะ ถ้าปัญญาที่มีกิเลสนะ มันก็คิดแต่จะเอารัดเอาเปรียบเขา มันคิดว่าเอารัดเอาเปรียบแล้วได้ประโยชน์ขึ้นมาไง มันไม่รู้เลยว่าเหยียบย่ำใจของตัวเองก่อนนะ เพราะเอารัดเอาเปรียบเขาน่ะ มาเอาผลกรรมมาให้กับใจตัวเองไง

นี่เห็นไหม วิบาก ผลของมันที่เวลาเกิดขึ้นมา เวลากิเลสตัณหามันจะเกิด ตัณหาความทะยานอยากฉุดกระชากให้ทำไป แล้วผลเกิดกับใคร กิเลสมันสร้างผลขึ้นมาแล้วมันก็หายไปแล้ว เพราะมันเกิด-ดับ เกิด-ดับ ตัณหาความทะยานอยากมันเกิดใช่ไหม พอเราสนองมันแล้วมันก็หายไป แล้วเดี๋ยวมันก็เกิดใหม่

แต่เวลาผลที่รับขึ้นมาคือผู้กระทำ นี่ที่จุดยืนนี้ไง จุดยืนของใจนี่มันเป็นตัวรับ ถ้าจุดยืนของใจมันเป็นตัวรับ มันก็จะรับเอามา มันก็เป็นอำนาจวาสนา เป็นบารมีของแต่ละบุคคล เห็นไหม สิ่งที่สร้างขึ้นมามันก็เป็นจริตนิสัย มันก็ซับสมไป นี่ไงมันว่ามันเป็นผู้ได้ มันกลับทำลายตัวเองเห็นไหม

แต่ถ้าเราเสียสละออกไป ยิ่งเสียสละออกไปเราว่าเราเป็นผู้เสียหาย เราเป็นผู้ที่ขาดทุนสูญดอก เห็นไหม แต่ใจมันเบานะ ของเบามันจะลอยขึ้นสูง เห็นไหม แล้วมันมีจุดยืนของมัน ถ้ามีสัมมาสมาธิมันจะย้อนกลับมา สัมมาสมาธิคืออะไร สัมมาสมาธิคือมันรู้จักตัวเราไง รู้จักเรา รู้จักความเป็นไป รู้จักสุข รู้จักทุกข์ รู้จักทำงาน

เหมือนคนนะ เวลาเรามีกำลังขึ้นมาแล้ว เราก็รู้จักการทำงาน เห็นไหม คนเรามีกำลังแล้วไม่รู้จักทำงาน อยู่แต่สุขสบายไม่ทำสิ่งใดเลย มันก็จะไม่ได้สิ่งใดตอบแทนมาเลย เห็นไหม แม้แต่จิตสงบเข้ามา มันก็ไม่ได้สิ่งใดตอบแทนมาเลย เพราะอะไร เพราะมันเป็นอนิจจัง เดี๋ยวมันก็คลายตัวออกมา พอคลายตัวออกมาก็เป็นปุถุชน คลายตัวออกมาก็เป็นความรู้สึกปกติเรานี่

ความรู้สึกปกตินี้มันเป็นตัวจิต มันเสวยอารมณ์แล้ว แต่เวลาถ้ามันปล่อยเข้ามา มันเป็นตัวของจิตเอง มันไม่เสวยอารมณ์ จิตไม่ใช่ขันธ์ ขันธ์ไม่ใช่จิตนะ ความคิดไม่ใช่เรา เราไม่ใช่ความคิด ความคิดไม่ใช่จิต จิตไม่ใช่ความคิด ถ้ามันปล่อยความคิดเข้ามา มันเป็นตัวของมันเอง มันไม่ใช่ความคิดโลกๆ นี้หรอก มันไม่ใช่ความคิดที่เรารู้จักภาวะอย่างนี้ มันปล่อยวางเข้ามาเป็นตัวมันเอง เห็นไหม

ถ้ามันมีคนรู้จักทำงาน เห็นไหม ขณะที่มันปล่อยวางเข้ามาแล้ว ถ้ามันยกไปวิปัสสนา มันย้อนออกไปเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม เห็นสิ่งต่างๆ เห็นธรรมารมณ์ไง สภาวธรรม อารมณ์ สภาวธรรม ธรรมารมณ์ สิ่งต่างๆ เกิดขึ้นกับใจ เห็นไหม สิ่งนั้นมันเกิดขึ้นมา ปัญญามันเกิดตรงนั้นนะ มันเห็นสภาวะเป็นงานจากภายใน เป็นการทำความสะอาดของใจอีกชั้นหนึ่ง เห็นไหม

ที่ว่านาย ก นาย ข นี่สมมุติ เห็นไหม เราไปเปลี่ยนภพเปลี่ยนชาติกันที่ทะเบียนบ้าน แต่เวลาธรรมะมันเกิดขึ้นมา มันไปเปลี่ยนภพเปลี่ยนชาติในหัวใจนะ ภพชาติปฏิสนธิจิต ที่มานั่งกันอยู่นี้มาจากไหน มาจากท้องของแม่ ออกมาจากบ้าน แต่ถ้าเป็นศาสนานะมาจากปฏิสนธิจิต จิตมันมาปฏิสนธิในไข่ของมารดา ปฏิสนธิในโอปปาติกะเกิดเป็นเทวดา เกิดเป็นอินทร์ เกิดเป็นพรหม นี่ปฏิสนธิอันนี้

ถ้ามรรคญาณมันเป็นภาวนามยปัญญา มันจะเข้าไปทำความสะอาดตรงนี้ ถ้าทำความสะอาดตรงนี้ เห็นไหม จากจุดยืนของเรานะ จากจุดยืนของจิต จิตที่ว่าเป็นเรา สิ่งที่เป็นเราขึ้นมา เป็นเราโดยสัจจะความจริง เป็นเราโดยสมมุติเพราะอะไร เพราะมันแปรสภาพตลอดเวลา เพราะมันเกิดมันตายมันก็เปลี่ยนภพเปลี่ยนชาติ เวลาเปลี่ยนภพเปลี่ยนชาติมันก็เกิด-ตาย เกิด-ตาย ไปอีกภพชาติหนึ่ง เห็นไหม

แต่มรรคญาณมันเข้าไปทำลายตรงนี้ ถ้าทำลายตรงนี้มันจะเอาอะไรไปเกิดในเมื่อมันไม่มีเชื้อไม่มีไข ไม่มีสิ่งผลักดัน เห็นไหม คนที่เป็นหนี้ชำระหนี้หมดแล้ว หนี้คืออะไร หนี้คือบุญและบาป บุญและบาปมันเป็นหนี้ มันฝังอยู่ที่ใจ พอพวกนี้มันมีบุญมันก็ขับดันไปในทางที่บวก ถ้ามีบาปก็ขับดันไปในทางที่ลบ เห็นไหม

สิ่งที่ขับดัน ขั้วบวกขั้วลบในหัวใจ เห็นไหม มันทำให้พลังงานตัวนี้มันเคลื่อนไหวไป แล้วถ้าภาวนามยปัญญาไปทำลายตรงนี้หมด ทำลายไง ทำลายเป็นพลังงานสะอาด ไม่มีขั้วบวกขั้วลบเห็นไหม ขั้วบวกขั้วลบมันเป็นของคู่ เห็นไหม ของคู่คือโลก ดีและชั่ว

แต่ถ้าเป็นขั้วเป็นกลาง ขั้วเป็นกลางอย่างไร ถ้ามีภวาสวะ มีภพ มีตัวตน ถ้ามันทำลายขึ้นมา พลังงานที่สะอาด พลังงานที่ไม่มีตัวตน พลังงานที่ไม่มีอะไรเลย แต่มี มีในหัวใจของเราไง เพราะมันเกิดมาจากเราปฏิสนธิจิต ในเมื่อจิตปฏิสนธิพลังงานมันมีอยู่ มันจะสูญหายไปได้อย่างไร มันเป็นธาตุรู้ มันเป็นสสารที่มีชีวิต

สสารโลกนี้ไม่มีชีวิต เห็นไหม มันไม่มีชีวิต มันใช้หมดไปมันก็หมดไป มันก็แปรสภาพมันไป แต่สสารที่มีชีวิตนะ สะอาดแค่ไหนมันก็มีของมัน มันเกิดได้ มันอยู่ของมันตลอด สันตติมันเกิด-ดับ เกิด-ดับ เกิด-ดับตลอดไป

พลังงานที่สะอาด เห็นไหมสิ่งนี้ในหัวใจ นี่เปลี่ยนภพเปลี่ยนชาติกันที่นี่ เขาทำลายภพชาติกันที่นี่นะ ทำลายภพชาติกันที่หัวใจไง เราชะล้างกัน เราทำความสะอาดกัน มันทำเข้าไป มันละเอียดเข้าไป จิตมันจะละเอียดเข้าไป นี่ภาวนามยปัญญา มีครูมีอาจารย์คอยชี้นำนะ

ถ้าไม่มีครูมีอาจารย์คอยชี้นำ เราก็คาดหมายกันไป เวลาคิดขึ้นมาเป็นอย่างนั้นหมดเลย เหมือนเด็กๆ เลย ทำอะไรขึ้นมาอยากให้ผู้ใหญ่ปรบมือให้ ว่าเป็นเด็กได้รางวัล เราภาวนาไปเห็นอะไรก็ตื่นเต้น โอ๊ะๆๆๆ นี่เป็น.. นี่เป็น.. นี่เป็น.. นี่เป็น.. ติดหมดเลยเพราะไม่มีครูบาอาจารย์คอยประคอง มีครูบาอาจารย์คอยชี้นำไง คอยชี้นำนะ ถ้าไม่มีคอยชี้นำนะ...

มันเป็นความมหัศจรรย์ มหัศจรรย์มาก เราไปเห็นสมบัติข้างนอกมหัศจรรย์นะ โอ้โฮ..แก้วแหวนเงินทอง เงินแสนๆ ล้าน โอ้โฮ..มหัศจรรย์มากเลย แต่เราไปเห็นความเป็นจากภายในนะ โอ้โฮ.. โอ้โฮ.. โอ้โฮ..นะ โอ้โฮจากภายในมันมหัศจรรย์กันอย่างไร สิ่งที่มหัศจรรย์ มหัศจรรย์อย่างไร?

มหัศจรรย์ภายนอกนะ ตู้เซฟนะ เราเอาสมบัติไปไว้ในตู้เซฟแล้วปิด ลืมกุญแจแล้วเปิดไม่ออก แล้วพอภาวนาเข้าไป มันไปเห็นเข้า เปิดออกมามีแต่สมบัติของเราทั้งนั้นเลย แล้วสมบัติอันนี้มันอยู่กับใจไม่ใช่สมบัติที่เป็นวัตถุนะ สมบัติที่เป็นนามธรรมมันตายไปกับเรา ดูสิ บุญกุศลตายไปกับเรา เรามีบุญกุศล เวลาเราตายไปความดีก็ตายไปกับจิต นี่ฝากไว้

การเสียสละออกไปต่างๆ เสียสละออกไปเป็นวัตถุ แต่นามธรรมมันได้รู้ เห็นไหม มันเป็นเจ้าของที่เสียสละ นี้มันก็ฝังลงไปที่จิต มันก็เป็นทิพย์ มันก็ขับเคลื่อนไปเป็นบุญกุศล บาปอกุศลทำไปแล้วมันก็สะสมลงที่จิต แล้วไอ้นี่มันไปชำระล้างหมดเลย ไม่มีแรงขับเคลื่อน ไม่มีแรงขับเคลื่อนมหัศจรรย์อย่างไร นี่อริยทรัพย์ ทรัพย์เป็นสมมุตินะ อริยทรัพย์ ทรัพย์จากภายใน อริยทรัพย์เป็นอย่างไร ถ้ามันภาวนาไป..

พวกเรานะอยากเห็นเทวดา อินทร์ พรหม เราไปตื่นเต้น แต่เวลาผู้ประพฤติปฏิบัติเข้าไปแล้ว ดูสิ เวลาหลวงปู่มั่นอยู่ในป่าในเขา ทำไมเทวดา อินทร์ พรหม มาฟังเทศน์ล่ะ เทวดา อินทร์ พรหมนะไม่มีประโยชน์อะไรเลย พรหมก็ไม่มีประโยชน์อะไร พรหมมาฟังเทศน์เพราะอะไร เพราะเขาไม่รู้อริยสัจ เห็นไหม ขนาดเขาเป็นเทวดา อินทร์ พรหม เขายังไม่รู้จักอริยทรัพย์เลย เขายังไม่เห็นทรัพย์ของเขาเลย แล้วผู้ปฏิบัติมาเห็นทรัพย์ ทรัพย์ของเราอยู่ในหัวใจของเราเป็นไปได้อย่างไร ทำไปได้นะ

ศาสนาพุทธมหัศจรรย์ตรงนี้ พุทธะ พุทธปัญญา ปัญญาของเราปัญญาพุทธะมันจะเข้าไปชำระล้างความสกปรกในหัวใจของเรา แล้วจะเป็นประโยชน์กับเรามากนะ ศาสนาเป็นประโยชน์มาก ทำดีต้องได้ดี ทำดีอย่างนี้แล้วความดีนอกๆ ดีจากกระแส ดีกับประชาสัมพันธ์มันเป็นเรื่องของโลก

โลกเห็นไหม โลกนี้มีเพราะมีเรา แล้วเราชำระในหัวใจของเราหมด แล้วสิ่งนี้จะอยู่กับโลกไป เห็นไหม วิหารธรรม ธรรมค้ำจุนโลก ค้ำจุนโลกจากภายในนะ โลกทัศน์ภายใน โลกทัศน์ความรู้ความเห็น โลกภายในของเรามันเร่าร้อน โลกภายในของเรามีแต่ความทุกข์ เราชำระโลกภายในสะอาดแล้ว เบาแล้ว มีความสบายแล้ว

โลกภายนอกมันเป็นอย่างนี้ เป็นความจริง เหมือนธาตุ ๔ เห็นไหม พายุฝนพัดไปเป็นธรรมชาติของมัน ฤดูกาลหมุนเปลี่ยนไปตามของมัน ไปตื่นเต้นอะไรกับมัน เห็นไหม

แต่โลกภายในขอให้มันเป็นไปจริงนะ ทำดีอย่างนี้เพื่อเรา ทำดีเพื่อเราในทางจงกรม ทำดีเพื่อเราเพื่อเสียสละ ทำความดีของเรา ความดีอย่างนี้ทำด้วยเอง เดินด้วยเท้าของเราเอง นั่งด้วยสมาธิของเราเอง ปัญญาเกิดของเราเอง ความดีของเราเอง เสร็จแล้วนะเป็นความดีของโลก เพราะเทวดา อินทร์ พรหมต้องการความดีอย่างนี้ เอวัง